รมว.พม. หนุนสตรีมีส่วนร่วมและตัดสินใจทางการเมือง ช่วยซ่อม-สร้าง-เสริมสังคมให้เข้มแข็ง

วันนี้ (15 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด 'การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมสถานภาพการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของสตรี' รุ่นที่ 1 ประกอบด้วย ผู้นำสตรี คณะกรรมพัฒนาสตรีจังหวัด และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. จากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก โดยมี นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวรายงาน ณ โรงแรมเรือนแพ รอยัลปาร์ค จังหวัดพิษณุโลก

นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักของภาครัฐในการเสริมพลังสตรีและส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ ด้วยการขับเคลื่อนนโยบายการเสริมพลัง (Empowerment) การพัฒนาทักษะ (Upskill) และเพิ่มศักยภาพของสตรีให้มีความมั่นใจในการเข้ามามีบทบาทหน้าที่และมีส่วนร่วมทางการบริหารและการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ทั้งนี้ จึงได้กำหนดจัด 'การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมสถานภาพการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของสตรี' รุ่นที่ 1 เพื่อส่งเสริมให้สตรีมีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักในบทบาทหน้าที่ และเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในสังคม อันก่อให้เกิดกลไกสำคัญในการสร้างสังคมเสมอภาคและสร้างการมีส่วนร่วมของสตรีในการจัดทำนโยบายและมาตรการของรัฐบาล รวมทั้งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่มีความสมดุล นำไปสู่สังคมและประเทศที่มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้สังคมไทยมีปัญหาอย่างมาก ซึ่งมีจำนวนครอบครัวที่มีปัญหาคิดเป็นร้อยละ 15 ของครอบครัวทั้งประเทศ และมีจำนวนสตรีคิดเป็นร้อยละ 51 ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น สตรีควรเข้ามามีบทบาทในการซ่อม สร้าง เสริมสังคมให้เข้มแข็ง ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้ทำโมเดลไว้และพบว่า สตรีที่มีการรับรู้ และได้รับการส่งเสริมศักยภาพการแสดงออกนั้น จะมีความกล้าเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ซึ่งสตรีในจังหวัดพิษณุโลกที่ผ่านการอบรมลักษณะใกล้เคียงนี้ ได้มีการกลับเข้าไปสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จทุกคน แต่จะเห็นได้ว่าสตรีกล้าเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้นหลายเท่า ซึ่งต่อไป เราจะทำเป็นโครงการแม่ไก่ ขยายต่อยอดไปยังภาคกลางและภาคใต้ ทั้งนี้ หากสตรีได้มีโอกาสเข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในการกำหนดชี้ชะตาประเทศมากขึ้น เชื่อว่าประเทศไทยจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน